การปฏิวัติที่ไม่รุนแรง: การรวมประเทศเยอรมนีโดยอ็อตโต ฟ็อน บิสมาร์ค
ในโลกประวัติศาสตร์ ย่อมมีผู้ชายหลายคน ที่ได้ทิ้งรอยเท้าอันล้ำค่าไว้บนเส้นทางของการเปลี่ยนแปลงและความก้าวหน้า อ็อตโต ฟ็อน บิสมาร์ค (Otto von Bismarck) เป็นหนึ่งในบุรุษเหล่านั้น ชื่อของเขาอาจดูแปลกสำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับประวัติศาสตร์เยอรมัน แต่ผลงานของเขานั้นมีอิทธิพลต่อยุโรปอย่างลึกซึ้ง และยังคงเป็นบทเรียนอันทรงคุณค่าสำหรับนักการเมืองและผู้นำในปัจจุบัน
บิสมาร์ค เกิดในปี ค.ศ. 1815 ในครอบครัวขุนนางปรัสเซียน เขาเติบโตขึ้นมาในยุคแห่งความไม่สงัดและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในทวีปยุโรป ความทะเยอทะยานและความฉลาดของบิสมาร์ค ทำให้เขาโดดเด่นตั้งแต่ยังเป็นหนุ่ม และเขารวดเร็วยกตัวเองขึ้นมาเป็นผู้มีอิทธิพลทางการเมือง
ในปี ค.ศ. 1862 บิสมาร์คได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีแห่งปรัสเซีย ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เปิดโอกาสให้เขาได้แสดงฝีมือในการนำประเทศไปสู่ความยิ่งใหญ่ ในฐานะผู้ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลและเชี่ยวชาญในด้านการเจรจาต่อรอง บิสมาร์คเห็นว่าการรวมประเทศเยอรมันเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างอำนาจให้กับปรัสเซีย
เขาใช้นโยบาย “Realpolitik” ซึ่งเป็นแนวคิดทางการเมืองที่เน้นผลประโยชน์และความได้เปรียบในเชิงปฏิบัติมากกว่าอุดมการณ์หรือหลักศีลธรรม บิสมาร์คไม่เกรงที่จะใช้ทั้งสงครามและการทูตเพื่อบรรลุเป้าหมายของเขา
สงครามกับเดนมาร์ก, ออสเตรีย และฝรั่งเศส: การสร้างชาติเยอรมัน
บิสมาร์คเริ่มต้นด้วยการยุติข้อพิพาทระหว่างปรัสเซียและเดนมาร์ก เกี่ยวกับความเป็นเจ้าของดินแดนชเลซวิก-ฮอล์สไตน์ (Schleswig-Holstein) ซึ่งเป็นสงครามที่เยอรมันเอาชนะเดนมาร์กในปี ค.ศ. 1864
หลังจากนั้น บิสมาร์คหันไปเผชิญหน้ากับออสเตรีย โดย instigating a conflict over the administration of Schleswig-Holstein. สงครามเจ็ดสัปดาห์ (Austro-Prussian War) ที่ตามมาในปี ค.ศ. 1866 เป็นความสำเร็จอย่างเด่นชัดสำหรับปรัสเซีย และทำให้เกิดการล่มสลายของสหพันธ์เยอรมัน (German Confederation)
ด้วยความพ่ายแพ้ของออสเตรีย ปรัสเซียได้กลายเป็นอำนาจที่โดดเด่นในเยอรมนีเหนือ บิสมาร์คจึงก่อตั้งสหพันธ์เยอรมันเหนือ (North German Confederation) ซึ่งรวมดินแดนส่วนใหญ่ของเยอรมนี
ในปี ค.ศ. 1870-71 บิสมาร์ค instigated the Franco-Prussian War ซึ่งเป็นสงครามที่ทำให้ฝรั่งเศสพ่ายแพ้ และนำไปสู่การรวมตัวของรัฐต่างๆในเยอรมันตะวันตกและใต้
หลังจากสงคราม จักรวรรดิเยอรมัน (German Empire) ได้ถือกำเนิดขึ้น โดยมีพระเจ้าวิลเฮล์มที่ 1 แห่งปรัสเซียเป็นจักรพรรดิคนแรก และบิสมาร์คได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี
ผลงานของบิสมาร์ค: ปลายทางของการรวมประเทศเยอรมัน
บิสมาร์ค เป็นผู้มีทัศนะกว้างไกลและมองการณ์ไกล เขารู้ว่าการรวมประเทศเยอรมันนั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เพื่อให้จักรวรรดิเยอรมันคงอยู่ได้อย่างมั่นคง เขาต้องจัดการกับความขัดแย้งภายใน และสร้างความสามัคคีระหว่างรัฐต่างๆ
บิสมาร์ค ได้นำนโยบายที่เรียกว่า “Kulturkampf” (Struggle for Civilization) มาใช้เพื่อควบคุมอิทธิพลของคริสตจักรคาทอลิกในเยอรมัน และเขายังสนับสนุนการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคม
ภายใต้การนำของบิสมาร์ค เยอรมันกลายเป็นประเทศที่ร่ำรวยและมีอำนาจในยุโรป จักรวรรดิเยอรมันกลายเป็นหนึ่งในมหาอำนาจโลก และนโยบายต่างประเทศของบิสมาร์คมุ่งเน้นไปที่การรักษาความสมดุลอำนาจในยุโรป
หลังจากเกษียณอายุ บิสมาร์คได้ถูกเรียกตัวกลับมาเพื่อจัดการกับวิกฤตการณ์ระหว่างประเทศ และเขายังคงเป็นที่เคารพนับถือของผู้นำและนักการเมืองทั่วโลก บิสมาร์คมองเห็นว่าความสามัคคีของเยอรมันนั้นเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างอนาคตที่สดใส
บิสมาร์ค: พันธะแห่งชาติเยอรมัน
ในประวัติศาสตร์โลก บิสมาร์คเป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดา เขาได้รวมประเทศเยอรมันด้วยความเฉลียวฉลาดและวิสัยทัศน์กว้างไกล
บิสมาร์คเป็นนักการเมืองที่ไม่เกรงที่จะใช้ “Realpolitik” เพื่อบรรลุเป้าหมายของเขา
ผลงานของบิสมาร์คมีอิทธิพลต่อยุโรปอย่างลึกซึ้ง และยังคงเป็นบทเรียนอันทรงคุณค่าสำหรับนักการเมืองและผู้นำในปัจจุบัน
เหตุการณ์สำคัญ | ปี |
---|---|
การแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีแห่งปรัสเซีย | 1862 |
สงครามเดนมาร์ก-ปรัสเซีย - ออสเตรีย | 1864 |
สงครามออสเตรีย-ปรัสเซีย | 1866 |
สงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย | 1870–1871 |
| ข้อคิดเห็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับ บิสมาร์ค | | “Iron Chancellor” (นายกรัฐมนตรีเหล็ก) เป็นฉายาที่เหมาะสมสำหรับบิสมาร์ค เนื่องจากความเข้มแข็งและความเด็ดเดี่ยวของเขา | | บิสมาร์คเป็นผู้ที่ทำให้ “Realpolitik” เป็นที่รู้จักในวงกว้าง | | การรวมประเทศเยอรมันถือเป็นหนึ่งในความสำเร็จทางการเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ |
บิสมาร์คมองเห็นว่าสันติภาพและความมั่นคงของยุโรปขึ้นอยู่กับความสมดุลของอำนาจ นโยบายต่างประเทศของเขา มุ่งเน้นไปที่การรักษาสมดุลนี้ และหลีกเลี่ยงสงครามขนาดใหญ่